ร่างกายมนุษย์เรานั้น ล้วนประกอบไปด้วยส่วนสำคัญต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายในหรืออวัยวะภายนอก แต่จะมีส่วนสำคัญที่เราต้องดูแลให้ดีและเห็นผลได้ชัดที่สุด นั่นก็คือ “ใบหน้า” ของเรานั่นเอง เป็นส่วนบนสุดของร่างกายที่ต้องเปิดเผยอยู่ตลอด ไม่ได้มีสิ่งใดให้ปกปิด เหมือนกับการสวมใส่เสื้อผ้า สวมใส่รองเท้า ดังนั้นเราควรจะดูแลใบหน้าที่เป็นส่วนสำคัญของเราให้ดี
วันนี้ Met107 มาพร้อมกับเทคนิคต่างๆที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้หรืออาจจะรู้แล้วแต่เป็นวิธีที่ผิดมาตลอด เกี่ยวกับการดูแลใบหน้าของเรา รวมถึงเทคนิคดีๆที่จะช่วยให้ใบหน้าของเรานั้นดีขึ้นมาฝากค่ะ
การล้างหน้าที่ถูกวิธีนำมาสู่ผลลัพธ์ระยะยาว ทุกวันนี้เพื่อนๆล้างหน้ากันแบบไหนอยู่คะ ใครที่กำลังล้างหน้าแบบไม่มีทิศทาง ถูขึ้นถูลงเร็วแรงตามใจอารมณ์ ณ ตอนนั้นอยู่ อยากบอกให้หยุดการกระทำนั้นเดี๋ยวนี้! เพราะมันคือพฤติกรรมที่นำพามาซึ่งปัญหาต่างๆที่เกิดกับใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสิวอุดตัน ปัญหารูขุมขนกว้าง หรือใบหน้าที่จะเหี่ยวย่นไม่เต่งตึงในอนาคตอีกด้วยค่ะ
การล้างหน้าที่ถูกวิธี ที่ได้รับการแนะนำจากคุณหมอ สมนึก อมรสิริพาณิชย์ คือการล้างหน้าตามแนวโพรงขนของเรา โพรงขนคืออะไร โพรงขน คือ ขนที่ออกมาจากรูขุมขน ซึ่งแต่ละคนจะมีทิศทางของแนวโพรงขนที่ออกมาบนใบหน้า ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว สามารถสังเกตได้ตาม ส่วนต่างๆของร่างกายที่มีขนขึ้น จะมีทิศทางการเรียงตัวของเส้นขน บนใบหน้าของเราคือขนอ่อน ดังนั้นจะมองเห็นไม่ค่อยชัด เราสามารถดูแนวขนที่บริเวณแขนแทนกันได้ ให้เพื่อนๆยกแขนตั้งขึ้นมาหน้าลำตัวหลังจากนั้นลองสังเกตทิศทางขนของตัวเองได้เลยค่ะ
มาดูวิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขนกัน ก่อนอื่นต้องเช็คทิศทางโพรงขนของผิวหน้าตัวเองและปรับใช้กันได้เล๊ยยย
บริเวณหน้าผาก ล้างโดยการที่เริ่มจากตรงกลางและลากออกไป โดยใช้มือสองข้างในการลากออกพร้อมกัน ให้ปล่อยมือหลังดึงออกสุด และเริ่มใหม่ที่ตรงกลางอีกครั้ง
บริเวณจมูก ล้างจากสันดั้งลงไปถึงปลาย เหมือนเป็นการลูบดั้งลงไป ลากลงสุดปล่อยออก
บริเวณหน้าแก้ม ล้างจากหน้าแก้มในสุด ชิดปีกจมูกและสันดั้งด้านข้าง ลากออกไปจนถึงริมสุดของแก้ม จากนั้นปล่อยและเริ่มต้นลากใหม่ที่เดิมอีกครั้ง ใช้บริเวณนิ้วในการลากอย่างเบามือ เพราะเป็นส่วนที่โพรงขนเยอะ ต้องค่อยๆทำอย่างใจเย็น เพื่อเป็นการทะนุถนอมผิวหน้าบริเวณนั้น
บริเวณคาง เริ่มจากชิดริมฝีปากล่างลงไปจนถึงปลายคาง ลากลงในลักษณะตรงลงไปและปล่อยเพื่อเริ่มต้นลากที่เดิมใหม่อีกครั้ง ทำวนไปแบบนี้ อย่างเบามือ
เวลาในการล้างหน้าอย่างน้อยควรสัก 60 วินาที
เช็ดหน้าด้วย Cleansing
ขอย้อนกลับไปก่อนที่เราจะล้างหน้า เราต้องทำการเช็ดหน้าเพื่อจัดการสิ่งสกปรกต่างๆในขั้นแรกออกก่อน เพื่อนๆรู้หรือไม่คะ ว่าต่อให้เราไม่แต่งหน้าเนี่ย เราก็ควรที่จะต้องเช็ดหน้าด้วยคลีนซิ่งก่อน คลีนซิ่ง (Cleansing) คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ที่สามารถช่วยขจัดคราบเครื่องสำอางต่างๆ ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารกันน้ำ รวมถึงคราบเหงื่อ ฝุ่นควันมลพิษ สิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำเปล่า หรือเจลล้างหน้าให้หลุดออกไปได้ ดังนั้นคลีนซิ่งจึงเป้นส่วนสำคัญในขั้นตอนการดูแลผิวหน้าของเรานั่นเองค่ะ
ปัจจุบันนี้ เพื่อนๆอาจจะเคยได้ยินคำว่าคลีนซิ่งออยล์ คลีนซิ่งบาล์ม ที่กำลังเป็นที่นิยมพูดถึงกันในแพลตฟอร์มต่างๆ และในหมู่คนดังที่ใช้และออกมาแนะนำ แต่เพื่อนๆรู้มั้ยคะ ว่าไม่ใช่ผิวหน้าของทุกคนที่จะเหมาะกับการใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อบาล์มเนื้อออยล์แบบนี้ ก่อนอื่นเราต้องรู้จักสภาพผิวของตัวเองก่อนเพื่อที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับกับผิวหน้าที่สุด ทั้งนี้ คลีนซิ่งนั้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน มาดูกันเลยดีกว่าว่าผิวหน้าของเราเหมาะกับการใช้คลีนซิ่งแบบไหน
คลีนซิ่งวอเตอร์ (Cleansing water) คือ คลีนซิ่งเนื้อน้ำ บางเบา ทำให้ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือส่วนผสมที่เหนอะง่ายต่อการทำให้ผิวเกิดอาการอุดตัน จึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวมัน หรือผิวผสมที่เดิมทีผิวก็มีน้ำมันส่วนเกินมากอยู่แล้ว
คลีนซิ่งออยล์ (Cleansing oil) คือ คลีนซิ่งเนื้อน้ำมัน มีส่วนผสมของน้ำมันทำให้ผิวของผู้ใช้ไม่เสียความชุ่มชื้นไป จึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ไม่ทำให้ผิวแห้ง
คลีนซิ่งเจล(Cleansing Gel) คือ คลีนซิ่งเนื้อสัมผัสเจลที่อ่อนโยนต่อผิว ทำให้ผู้ที่มีผิวบอบบาง หรือผิวที่เป็นสิวง่ายก็สามารถใช้ทำความสะอาดผิวหน้าได้ แต่ด้วยเนื้อสัมผัสที่อ่อนโยนและบางเบาสูงมาก ทำให้อาจจะต้องใช้เวลาที่นานขึ้นในการทำความสะอาดผิวหน้า
คลีนซิ่งมิลค์ (Cleansing milk) คือ คลีนซิ่งเนื้อน้ำนม เหมาะกับผู้ที่มีผิวที่บอบบาง เป็นสิวง่าย รวมถึงผู้ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เพราะเนื้อน้ำนมอ่อนโยน และเป็นมอยส์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยเช่นกัน
คลีนซิ่งบาล์ม (Cleansing balm) คือ คลีนซิ่งที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดการเสียดสีของผิวหน้ากับสำลี เพราะคลีนซิ่งเนื้อบาล์มสามารถนวดบาล์มลงไปบนผิวหน้าได้โดยตรง ทำให้หน้าไม่ต้องได้รับการเสียดสีกับสำลี ทำให้ผิวมีแนวโน้มที่เกิดริ้วรอยบนผิวได้ยากขึ้น
คลีนซิ่งครีม (Cleansing Cream) คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับผู้ที่ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ เพราะผลิตภัณฑ์เนื้อครีมมีสารบำรุง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวคงความชุ่มชื้นไว้
คลีนซิ่งแบบแผ่น (Cleansing Wipe) คือ คลีนซิ่งที่บรรจุอยู่ในเนื้อสำลีมาอยู่แล้ว ทำให้สะดวก
ในการพกพาไปไหนมาไหน และมีราคาสูง เพราะต้องใช้หลายแผ่นในการเช็ดทำความสะอาดผิวหน้า คลีนซิ่งแบบแผ่นนั้น เหมาะกับทุกสภาพผิว และสูตรน้ำยาคลีนซิ่งที่บรรจุอยู่ในเนื้อสำลี
ขอขอบคุณข้อมูลคุณลักษณะของคลีนซิ่งจาก Bioderma
การใช้ BHA
ถ้าเพื่อนๆลองสังเกตผิวหน้าของตัวเอง เราจะมีสิวเสี้ยนเกิดขึ้นอยู่ตามจุดต่างๆ ซึ่งเราไม่ควรที่จะใช้อะไรในการถูแรงๆให้หลุดออกไป เพราะนอกจะไม่หายแล้วยังสร้างความระคายเคืองกับผิวหน้าของเราอีกด้วยค่ะ ดังนั้นเราสามารถใช้ BHA ในการกำจัดมันออกไปได้ แต่จะไม่ได้เห็นผลรวดเร็วทันใจ แต่จะเห็นผลในระยาวค่ะ
BHA คือ กรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acids) ที่นิยมนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า โดยมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนคล้ายกับ AHA แต่ BHA นั้นจะสามารถละลายได้ดีในน้ำมัน ทำให้มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก แทรกซึมไปในชั้นผิวและช่วยละลายเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และละลายไขมันที่อุดตันตามรูขุมขน ทำให้ช่วยลดโอกาสในการอุดตันของชั้นรูขุมขนเกิดขึ้นได้น้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียลดการอุดตัน ได้ดี จึงถือว่าเป็นส่วนผสมที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเป็นอย่างมาก
การใช้ BHA สำหรับมือใหม่และผิวหน้าที่ไม่เคยได้สัมผัสเลยนั้น ควรเริ่มจากการใช้ BHA ที่มีความเข้มข้นต่ำประมาณ 0.5 -2% ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวระคาย แดง แสบ คัน หรือลอกเป็นขุยได้ และควรใช้ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้ปรับตัวก่อนและเมื่อผิวสามารถปรับตัวได้แล้วก็ค่อยปรับมาใช้วันเว้นวัน เพื่อให้ BHA นั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเองค่ะ
ทั้งนี้ ควรศึกษาวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนของ BHA ให้ดีก่อน หรือสามารถปรึกษาคุณหมอเพื่อเริ่มใช้งานได้นะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลคุณลักษณะของ BHA จาก Bioderma
วิตามิน A สำคัญกว่าที่คิด
ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับวิตามินเอ อาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามในการเลือกมาใช้ดูแลผิวหน้า แต่แท้จริงแล้ว วิตามินเอสำคัญมากๆเลยนะคะ วิตามินเอที่นอกจากจะช่วยด้านต่างๆในร่างกายของเราแล้ว ในเรื่องของผิว ยังสามารถป้องกันผิวหนังแห้งหยาบ และเป็นแผลอักเสบ, พุพอง ซึ่งคนที่ขาดวิตามินเอมาก ๆ จะมีปัญหาเรื่องของผิวหนังที่เกิดตุ่ม สาก และอักเสบไปในที่สุด จะเกิดมากโดยเฉพาะบริเวณ แขน ขา หลัง หน้าอก และหน้าท้อง
วิตามินเอ ในด้านของของผิวหน้านั้น สามารถรักษาสิวได้ดี ลดอาการอักเสบของสิว ไม่ว่าจะสิวหัวช้าง สิวเสี้ยน สิวหนอง ก็สามารถทำให้ยุบได้อย่างรวดเร็ว และไม่ลุกลาม แถมยังป้องกันผิวแห้งแตกลายงา หรือแตกเป็นเกล็ดคล้ายคนขาดไขมัน เพราะในวิตามินเอ เป็นไขมันที่ละลายได้ง่ายในร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่, ลดอาการอักเสบของผิว, ช่วยลดเลือนจุดด่างดำได้ วิตามินเอยังมีชื่อเสียงในเรื่องของการลดสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบ ในอุตสาหกรรมเวชสำอางค์ จึงได้นำวิตามินเอมาผสมทั้งครีม, แป้ง และผลิตภัณฑ์อีกหลาย ๆ ตัว
ดังนั้นเราควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนของวิตามินเอในการมาดูแลผิวหน้าของเราค่ะ แต่อาจจะไม่ได้ใช้เป็นประจำวันทุกวัน แต่การใช้วันเว้นวันหรือสองวันจะดีกว่าค่ะ
Ice-Water Facial การแช่หน้าในน้ำเย็นจัด การใช้น้ำแข็งถูหน้า
เทคนิคสุดปังที่เป็นไวรัลมากขึ้นเพราะสาวเจนนี่ BlackPink ได้ลงคลิปเบื้องหลังและเผยให้เห็นวิธีการเตรียมผิวก่อนแต่งหน้า โดยการนำหน้าไปจุ่มในน้ำที่เย็นจัด ซึ่งนั้นก็คือวิธีการทำ Ice-Water Facial
Ice-Water Facial คือ การใช้น้ำแข็งหรือน้ำที่มีอุณหภูมิที่เย็นจัด ในการดูแลผิวหน้า โดยก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนจุ่มหน้า เราต้องเริ่มจากการเตรียมน้ำสะอาดใส่น้ำแข็งลงไปเพิ่มปรับอุณหภูมิความเย็น หลังจากนั้นจะนำมือจุ่มลงไปในน้ำที่เย็นจัด เป็นการปรับอุณหภูมิเริ่มแรก ทิ้งไว้สักพักให้นำน้ำแข็งขึ้นมาถูวนๆบนฝ่ามือ และนำฝ่ามือที่อุณหภูมิได้ที่แล้วนั้นมานวดบนผิวหน้า ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดและช่วยกระตุ้นให้ผิวเกิดการผ่อนคลาย
หลังจากนวดหน้าเสร็จก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำ Ice-Water Facial โดยการนำหน้าที่เตรียมอุณหภูมิและเปิดการไหลเวียนพร้อมแล้วจุ่มลงไปในภาชนะที่ใส่น้ำเย็นและน้ำแข็งก้อนที่เราเตรียมไว้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยปลุกให้ผิวตื่นและสามารถลดอาการบวมอาการอักเสบของผิวได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความกระชับของผิวหน้าได้ดีอีกด้วย
ถ้าหากไม่จุ่มหน้าลงไปก็มีวิธีอื่นอยู่นะคะ คือการที่เราหยิบก้อนน้ำแข็งที่เตรียมไว้อย่างสะอาดมาถูบริเวณใบหน้าของเรา โดยแต่ละจุดไม่ควรวางทิ้งไว้หรือถูแช่บริเวณนั้นนานจนเกินไปนะคะ
นวดหน้าลดการบวม ช่วยหน้าใส
หลายคนอาจจะกำลังมองข้ามขั้นตอนง่ายๆของการรักษาดูแลผิวหน้าของเรา เวลาเราปวดเมื่อยเนื้อตัวเรามีไปนวดตามร้านต่างๆ ปวดเท้าก็นั่งนวดเท้า หรือเพราะว่าเราไม่เคยปวดหน้าเราจึงหลงลืมการนวดใบหน้าไป แต่จริงๆแล้วการนวดหน้านั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องรอให้ปวดค่ะ
การนวดหน้าช่วยให้เกิดการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้มาเลี้ยงบริเวณใบหน้าของเราได้ดีขึ้น ช่วยขจัดเซลผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกไป ทำให้ผิวหน้าดูสะอาดขึ้นและช่วยทำใบหน้าของเรานั้นดูสดใส อ่อนวัย ลดริ้วรอย และลดการหมองคล้ำของใบหน้าได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการคลายเครียดบริเวณผิวหน้าได้ดีอีกด้วยค่ะ
หลักการนวดหน้านั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการมาสก์หน้าเสร็จและนวดไปด้วย การใช้น้ำมันออยล์ในการนวด และการนวดหน้าพร้อมกับการลงสกินแคร์ ช่วงเวลาในการนวดหน้านั้นไม่ได้มีกำหนดการที่ตายตัว สามารถเลือกได้ตามเวลาที่เราว่างหรือเวลาที่เราสะดวก แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือการนวดหน้าในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้านั้นเองค่ะ
ขั้นตอนการนวดหน้านั้นจะทำไปพร้อมๆกับการล้างหน้า อย่างต่ำ1 นาที หรือลงพร้อมกับการลงสกินแคร์ตัวโปรดที่ถูกกับผิวหน้าเราที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตัวเซรั่มหรือน้ำตบต่างๆ โดยเริ่มจากลงเซรั่มหรือสกินแคร์ที่เราเลือกลงบนผิวหน้าอย่างเบามือไปในทิศทางเฉียงขึ้น กลางหน้าออกไปจนถึงโหนกแก้ม แล้วหน้าผากจากตรงกลางออกไปด้านข้าง ตรงคางให้งัดขึ้นไปทางกรามจนถึงหู และตรงคอให้ลากลงจนถึงไหปลาร้า โดยแต่ละครั้งในการนวดหน้าควรใช้เวลา 15-20 นาที
แต่ๆการนวดควรระวังการลงน้ำหนักมือ ไม่ควรนวดแรงหรือหนักจนเกินไป เป็นลักษณะการลูบไล้ไม่ใช่การกด การที่ทำแรงเกินไปแทนที่จะช่วยทำให้ดีขึ้น อาจจะทำให้ใบหน้าเรามีริ้วรอยเพิ่มขึ้นได้ค่ะ แล้วก็ควรตัดเล็บด้วยน้าา