4 เพลงดิสนีย์กับด้านที่ทุกคนอาจไม่เคยรู้!
🫧 ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แอนิเมชันดิสนีย์ สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนจะนึกถึงตามมานั่นก็คือ ”เพลง” ดนตรีหรือเพลงประกอบเป็นกุญแจสำคัญสำหรับอาณาจักรเวทมนตร์อย่างดิสนีย์มาโดยตลอด แม้เพลงทุกเพลงจะมีท่วงทำนองที่ไพเราะ เพลิดเพลิน อ่อนหวาน แต่ก็เต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว ซับซ้อน นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังอีกมุมหนึ่งที่ไม่คาดคิดจากทุกๆ ทศวรรษจนถึงปัจจุบัน
Someday my Prince Will Come (from Snow White and the Seven Dwarves, 1937)
สักวันเจ้าชายคงมา (จากเรื่อง สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด ปี 1937)
🍎 ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวเรื่องแรกของดิสนีย์ที่มีเพลงฮิตหลายเพลงและแน่นอนว่าสโนว์ไวท์ยังเป็นเจ้าหญิงคนแรกที่เป็นต้นฉบับความงดงามในฝันของเจ้าหญิงดิสนีย์อีกด้วย เพลงนี้เป็นเพลงบัลลาดที่เชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟังเข้ากับเจ้าหญิงสโนว์ไวท์เข้าไว้ด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่เพลงนี้ยังผูกเงื่อนตายระหว่างนักพากย์สาวเจ้าของเสียงใส อาเดรียน่า คาซีล็อทติ (Adriana Caselotti) ไว้กับบทบาทสโนว์ไวท์ไปตลอดกาล เธอได้สร้างผลงานชิ้นเอกด้วยเสียงอันไพเราะของเธอ แต่หลังจากนั้นเธอก็ต้องปฏิเสธข้อเสนอต่างๆ ในการใช้เสียงที่สดใสที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอในงานอื่นๆ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ และสุดท้ายภาพยนตร์และเพลง Someday my Prince Will Come ได้รับความรักอันล้นหลามจากผู้คนทั่วโลก เธอก็ได้เสนอชื่อและได้รับรางวัล Disney Legend ในวัย 77 ปี
Poor Unfortunate Souls (from The Little Mermaid, 1989)
ใจอันไร้ที่พึ่งพา (จากเรื่อง เงือกน้อยพจญภัย ปี 1989)
🪸 ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องเงือกน้อยพจญภัยหรือ The Little Mermaid และเพลง soundtrack ถือเป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาด้านเพลงของดิสนีย์เลยก็ว่าได้ หรือจะเรียกว่าเป็นการถือกำเนิดใหม่อีกครั้งของเจ้าหญิงดิสนีย์เช่นเดียวกับตัวร้ายระดับตำนาน หรือ เออร์ซูล่า แม่มดแห่งท้องทะเล สิ่งที่น่าเศร้าคือเออร์ซูล่าใช้บทเพลงนี้เพื่อหลอกล่อแอเรียล เป็นเพลงที่ขับร้องด้วยเล่ห์กลและแสดงด้วยฝีมือชั้นยอดของเออร์ซูล่าเพื่อโน้มน้าวเงือกแอเรียลให้เสียสละเสียงอันไพเราะของเธอเพื่อครองรักกับมนุษย์
Arabian Nights (from Aladdin, 1992)
อาหรับราตรี (จากเรื่อง อะลาดิน ปี 1992)
🌙 ภาพยนตร์แอนิเมชันแฟนตาซีที่ได้รับรางวัลเรื่องนี้ทำให้เกิดการประท้วงขึ้นจากกลุ่มต่อต้านการเลือกปฏิบัติ พวกเขากล่าวว่าเพลงนี้ใส่ร้ายป้ายสีคนทั้งมวล เนื้อเพลงและฉากต่างๆ ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าชาวอาหรับนั้นแตกต่างจากพวกเรา พวกเขาไม่พูดจาหยาบคาย หลังจากการปล่อยเพลง ดิสนีย์ก็ได้แก้ไขเนื้อเพลงสองบรรทัดที่พูดถึงชาวอาหรับ ("Where they cut off your ear/ If they don't like your face") แต่ก็ยังมีเนื้อเพลงที่ชวนสงสัยอยู่บ้าง "It's barbaric, but hey, it's home" (มันป่าเถื่อน แต่เดี๋ยวก่อน มันคือบ้าน)
Do You Want to Build a Snowman? (from Frozen, 2013)
ปั้นมนุษย์หิมะด้วยกันไหม (จากเรื่อง ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ ปี 2013)
⛄️ เพลงที่แสดงถึงความเศร้าหม่นหมองของตัวละครที่เกือบจะถือว่าเป็นเพลงที่เศร้าเกินไปสำหรับเรื่อง Frozen แต่ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเพลงที่โดดเด่นมากเทียบเท่าเพลง Let It Go นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นฝีมือการแต่งเพลงของคู่รักนักแต่งเพลงอย่าง Kristen Anderson-Lopez และ Robert Lopez ที่ร้อยเรียงเรื่องราวชีวิต เกี่ยวกับความตาย ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อประตูแห่งการสื่อสารระหว่างสองพี่น้องถูกปิด การหาทางของปัญหาหรือวิกฤตทางครอบครัว ออกมาผ่านเพลงปันมนุษย์หิมะด้วยกันไหม
🎶 อย่างไรก็ตามเพลงจากภาพยนตร์ของดิสนีย์ก็ถักทอเข้ากับเรื่องราวของเราเช่นกัน เพลงอันแสนไพเราะ ท่วงทำนองแห่งความฝัน ซึมซาบอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเราตั้งแต่เด็ก และยังคงร่ายมนตร์ตลอดการเติบโตของเรา ราวกับว่าช่วงเวลาแห่งวัยเยาว์ยังมีชีวิตอยู่เสมอมาและจะอยู่ไปชั่วนิรันด์ 🏰🩷
อ้างอิง https://www.bbc.com/culture/article/20230622-the-darker-side-of-disney-songs