วันนี้ MET107 จะพาไปทำความรู้จักกับบทเพลงที่มีชื่อว่า Michi Teyu Ku (Overflowing)  ที่เป็นที่นิยมอยู่ในตอนนี้ กับความหมายที่ซ่อนอยู่ในบทเพลง ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง  April, Come She Will (เมษายน พาใครบางคนกลับมา) นั่นเอง

        สำหรับเพลง Michi Teyu Ku  เป็นผลงานเพลงของศิลปินชาวญี่ปุ่น Fujii Kaze (ฟูจิอิ คาเสะ) ผู้เป็นเจ้าของเพลงที่โด่งดังอย่างเพลง Matsuri แต่ครั้งนี้มีสไตล์การแต่งเพลงที่แตกต่างจากเพลงส่วนใหญ่ที่ผ่านมาของเขา ซึ่งมีความหมายเน้นถึงการรักตัวเอง แต่สำหรับเพลงนี้ เขาเผยในบทสัมภาษณ์ว่า เป็นเพลงรักเพลงแรกของเขา  แต่เขาก็สามารถถ่ายทอดบทเพลงได้อย่างลึกซึ้งและงดงาม  และยังเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เพลงแรกของเขาอีกด้วย 

        เนื่องจากเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง  April, Come She Will ซึ่งเป็นผลงานสร้างจากนิยายขายดีของคาวามูระ เก็งคิ ที่ตั้งคำถามถึงความรักของคนหนุ่มสาว ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา มีเรื่องราวของความรักสามเศร้า จดหมายจากแฟนเก่า และความรักของคู่รักที่คบมานานจนจืดจาง ที่ทำให้ต้องกลับมาทบทวนว่า เพราะความรักจืดจาง หรือเราเองที่ห่างเหินกันไม่เห็นคุณค่าของคนที่อยู่เคียงข้างเรา จะเห็นได้ว่า ธีมหลักของเรื่องจะเกี่ยวพันกับการตามหาตัวเองบนความสัมพันธ์ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน  ทำให้ไม่มีศิลปินคนไหนเหมาะไปกว่า "Fujii Kaze" ในการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ 

        "Michi Teyu Ku (Overflowing)" สำหรับชื่อเพลงที่แปลเป็นภาษาไทยนั่นก็คือ เติมใจให้เต็ม เป็นสิ่งที่ฟูจิอิ คาเสะ ตีความหมายเรื่องราวของความรักที่เกิดขึ้น ว่าความรักไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องไขว่คว้า ออกตามหา แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในใจของทุกคน และเมื่อความรักมีมากพอจนเอ่อล้นออกมา เราจะรู้สึกเบา ปลดปล่อยตัวเองจากการยึดติด และหัวใจจะกลับมาเต็มอีกครั้ง ดั่งท่อนที่บอกว่า "ไม่ว่าท้องฟ้าจะเริ่มทอแสงหรือสิ้นแสงแห่งวัน เราจะก้าวผ่านข้ามไปทุกอย่าง สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงล้วนเป็นเรื่องที่เรากำหนดไม่ได้ เพียงปล่อยวาง ปลดเปลื้องความรู้สึก และเติมใจให้เต็ม"  หรือจะเป็นท่อนที่บอกว่า "ทันใดที่เรามีความสุข มันก็จากไป แต่นั่นเกือบจะเป็นสิ่งเดียวที่เราตามไขว่คว้า ใช้คำว่า รัก ผิดความหมายมาตลอด ตอนนี้ได้รู้แล้วใช่ไหมว่ารักที่แท้หมายความเช่นไร ช่างน่าเศร้าที่รักใครเพียงเพื่อต้องการความรักตอบ" ได้แสดงถึงความรัก ที่อาจจะหมายถึงการรักตัวเอง ที่ Fujii Kaze ต้องการตีความ และถ่ายทอดออกมานั่นเอง